ดร.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์
ชื่อเต็มของ เบโธเฟน คือ ลุดวิก ฟาน เบโธเฟน (Ludwig van Beethoven) ปู่ของเขาเป็นชาว เฟลมิช (Flemish)เป็นคนที่เกิดและอาศัยในพื้นที่ ฮอลแลนด์ตอนใต้และเบลเยี่ยมตอนเหนือ ภาษาเฟลมิชนั้นกระเดียดมาทางภาษาดัตซ์. ปู่ของเขาได้ย้ายรกรากมาอยู่เมืองบอนน์ ปีค.ศ. 1740 สมัยนั้นบอนน์เป็นเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำไรน์มีทิวทัศน์และภูมิประเทศที่งดงาม แม้จะเป็นเมืองเล็กประชากรราวหนึ่งหมื่นคนแต่มีความทันสมัยเป็นคอสโมโพลิตัน (Cosmopolitan) มีร้านหนังสือ มีภัตตาคาร ร้านกาแฟ เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา ได้รับอิทธิพลของฝรั่งเศสซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำไรน์ ชาวเมืองจึงมีความคิดไปทางก้าวหน้า เปิดรับกระแสความคิดใหม่ๆ. ต่างไปจากเมืองใหญ่เช่น โคโลญจ์ ที่ห่างออกไปแค่ 100 กิโลเมตร เป็นเมืองเก่าแก่สมัยโรมันมีโบสถ์คาธอลิคขนาดใหญ่อลังการ. แต่อนุรักษ์นิยม
ห้วงเวลาที่ปู่ของเบโธเฟนย้ายมาอยู่บอนน์มาได้ดีทางอาชีพการงาน เป็น Kapellemeister หรือหัวหน้าวงดนตรีในวังของเจ้านคร มักซิมิเลียน ฟรีดริช กระแสโรแมนติค (Romantic Age) กำลังก่อตัว
ดังเคยเล่ามาแล้วใน “เดวิดและยุคศิลปวิทยาการ ยุคแห่งการรู้แจ้ง” เกิดขึ้น เพราะดิ้นรนต่อต้าน “ยุคมืด” ที่โบสถ์บีบบังคับพฤติกรรม และระเบียบสังคมที่เคร่งครัดในศรัทธาจนขาดเหตุผล. มองข้ามความเป็นมนุษย์. ความคิดที่มีเหตุผลใช้ตรรกะ จนเป็นที่มาของกระบวนการคิด วิเคราะห์ วิจัยแบบวิทยาศาสตร์กลไกของ เซอร์ ไอแสค นิวตัน...ครั้นพลังกระแสแห่งการเชิดชูเหตุผลผ่านไป 200 ปีเศษแห่งวิทยาศาสตร์กลไก. แม้นำความก้าวหน้าด้านสุขภาพอนามัย การศึกษา พาณิชยกรรม และนวัตกรรมใหม่ๆ ความล้นเหลือแห่งพลังการผลิตที่มีการใช้เครื่องจักรไอน้ำ นำมาสู่วัตถุนิยม บริโภคนิยม การเติบโตเจริญ รุ่งเรืองของเมืองใหญ่ ผู้คนและสังคมเริ่มเหินห่างจากธรรมชาติ ความสำเร็จทางเศรษฐกิจทำให้สมองและตรรกะถูกยกย่องจนอยู่เหนือความรู้สึก ลืมเรื่องหัวใจและวิญญาณ. อีกทั้งละเลยความลี้ลับมหัศจรรย์แห่งจักรวาล. เราเห็นได้ชัดว่าเมื่อกลุ่มนำในสังคม. การศึกษาก็ใช้สมองซีกซ้ายด้านเดียว ใช้สายตาและกรอบคิดแห่งเหตุผลที่แข็งตัว จนลืมด้านอื่นแห่งธรรมชาติความเป็นมนุษย์ ทำให้เกิดการสวนกระแส... มีนักคิด นักประพันธ์ จิตรกร จำนวนไม่น้อยหันมายกย่องให้คุณค่า ต่อหัวใจ ต่อความรัก ต่อชีวิตที่งดงามของความเป็นเด็กและอารมณ์สุนทรีย์กับธรรมชาติ
เมล็ดพันธุ์แห่งวิญญาณใหม่ ความคิดใหม่ความเชื่อใหม่ ยุคสมัยโรแมนติกจึงเป็นเสมือนลมหายใจแห่งกาลเวลาได้อุบัติขึ้นก่อนเบโธเฟน ลืมตาดูโลก ราว 30 ปี. เป็นพื้นดินอันอุดมและระบบนิเวศน์ทางปัญญา เมื่อเด็กน้อยลุดวิก ฟาน เบโธเฟน เติบโตขึ้นมาเขาจึงดื่มกินและหายใจเอาวิญญาณดังกล่าวเข้าไปในเลือดเนื้อของเขา