ดร.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์
ผมได้ไปเที่ยว Florence มาหลายครั้ง ทุกครั้งก็จะแวะไปยืนดู รูปสลัก David จำลอง( แต่เหมือนตัวจริงที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์มากๆ) เป็นผลงานของ ไมเคิลแองเจโล เขาเป็นอัครศิลปินยุคเดียวกับ ดาร์วินซี่ ผู้วาดภาพโมนาลิซ่า และก็มี มาเคียเวลลี่ ผู้ประพันธ์ the prince ปรัชญาและวิถีการเมืองแบบอำนาตสุดๆ. ไม่ต้องมีเมตตาปราณีใคร ขอให้บรรลุเป้าหมาย. แล้วยังมีตระกูลอิทธิพลใหญ่สุดๆสมัยนั้น the Medici เมดีซี่ .. นี่คือยุคสมัยที่นักวิชาการไทยแปลว่า ยุคศิลปวิทยาการ หรือ Rainaissance สมัยนั้นโคลัมบัส พบทวีปอเมริกา วาสโก้เดอกามา แล่นเรืออ้อมแหลม กู้ดโฮป บุกเบิกเส้นทางค้าเครื่องเทศ และสินค้าจากเอเชีย เพราะสมัยนั้น โคเปอร์นิคัส นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักปราชญ์ รื้อ ความเชื่อเก่าทิ้งหมด. โลกโคจรรอบด้วงอาทิตย์. ..แต่ยุคสมัยแห่งศิลปวิทยาการมิได้มาง่ายๆ. ก่อนหน้านี้ ราวๆ20-30 ปี กาฬโรคระบาดทั่วยุโรป. คนยุโรปตายไปเกือบ1/3 ของประชากร .. แต่หลังจากนั้น การศึกษาค้นคว้าทางการแพทย์ สาธารณสุขก็รุ่งเรือง ประกอบกับ กูทเท้นแบร์กประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ได้ การพิมพ์หนังสือแพร่ความรู้การศึกษาก้าวกระโดด มาติน ลูเธอร์พระนักเทศน์ชาวเยอรมัน เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าและศาสนาคริสต์ในมิติใหม่ new narrative ท้าทายอำนาจศาสนจักรแห่งวาติกัน คำภีร์ไบเบิลของ ลูเธอร์ กระจายไปทั่ว เพราะมีเครื่องพิมพ์ คนเยอรมันชาวบ้านเข้าถึงได้ จึงเกิดนิกายโปรเตสแต้นท์( เยอรมันเรียก เอวานเกลิค) ปะทะทางความเชื่อ กับคาโธลิค และหลายปีต่อมาเกิดสงครามศาสนา30 ปี ทั่วยุโรป. กว่าจะได้เซ็นสัญญาสงบศึกที่เวสต์ฟาเลีย. ในเมือง Florence เองรุ่งเรืองศูนย์กลางของ Renaissance ก็มีกบฎชาวบ้านถูกปราบถูกฆ่าหลายหมื่นคน. โดยพวกเศรษฐีมีอำนาจอิทธิพลและกำลังทหาร. เราจะเห็นว่า ยุคสมัยนั้น มีมีกำลัง2 ด้าน ปะทะชิงชัยกันอยู่ เป็นการย้อนแย้ง( paradox) แห่งกำลัง.. มันสะท้อนอะไร? ประวัติศาสตร์สอนอะไร? เรา โควิด 19 และกาฬโรค ยุคก่อน Renaissance สอนอะไร เราไหม?....แล้วรูปปั้น เดวิด ผู้หาญกล้าท้ารบกับโกไลแอธ. บอกอะไรเรา? ทำไมผมจึงตื่นเต้นกับความรู้ใหม่นี้? ดูรูปปั้นและใบหน้าของเดวิดไปพลางๆก่อนนะ. ..ดูดีๆ ด้วยจิตปราณีตละเอียดอ่อนมองดูงานปฏิมากรรม เดวิด ของไมเคิลแองเจโล ที่มีกล้ามเนื้อลำคอ สีหน้าดูเครียด .มือของเขาที่ถือก้อนหิน คิ้วขมวด สีหน้าแววตาที่โฟกัส อย่างมุ่งมั่นไปยังที่ที่ดูห่างออกไป .เดวิดคล้ายกับตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว ว่าจะทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้ตนเองไม่มั่นใจในผลลัพธ์ที่ตามมาก็ตาม. มันเป็น fateful monent ห้วงเวลาแห่งการชี้ชะตา. ความเป็นตาย. อันไม่มีวันหวนกลับ
สำหรับคนที่ไม่มีภูมิหลังประวัติศาสตร์ของชนชาติยิว จะไม่ซาบซึ้งและขาดอรรถรสแห่งปฏิมากรรมชิ้นเอกของโลก.
เรื่องเดิม มีอยู่ว่าเดวิดเป็นเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะ นอกจากมีไม้เท้าแล้ว เขาก็มีสลิงสายทำด้วยหนัง ใส่ก้อนหินขนาดกำปั้น เหวี่ยงใส่สัตว์ร้าย เช่นหมาป่า หรือสิงโตที่มาขโมยแกะกิน. เดวิดใช้สลิงอย่างเชี่ยวชาญ แม่นยำขนาดเหยี่ยวตัวใหญ่. เขาสอยมันลงมาได้ด้วยก้อนหินและสลิงที่แม่นยำ.
วันหนึ่งชนเผ่าฟิลีสตีนส์ที่ดุร้ายยกกองทัพมาจะพิชิตชนชาวยิว. เมื่อตั้งทัพเผชิญหน้ากัน กษัตริย์แห่งฟิลีสตีนส์ บอกว่าไม่ต้องยกพลมารบกันหรอก ขอให้แต่ละฝ่ายเลือกขุนพลมาสู้กันตัวต่อตัว ถ้าขุนพลฝ่ายใดแพ้ก็. ถือว่ายอมแพ้ทั้งกองทัพ. ฟิลิสตีนส์ส่งโกไลแอธมนุษย์ยักษ์ ใส่เกราะทองแดงหัวจรดเท้า มีโลห์เหล็ก สะพายดาบ มือถือหอกยาวและใช้แหลน. ทางฝ่ายยิวไม่มีนักรบคนใดกล้าออกมา. เพราะความแข็งแรง ดุร้ายของโกไลแอธที่สูง 2 เมตรเศษ.. เป็นที่เลื่องลือ. .. ทั้งกองทัพยิวเงียบกริบ. เดวิด เด็กเลี้ยงแกะ กราบทูล เมื่อไม่มีใครกล้า ตนเองขออาสา. กษัตริย์ซอลชาวยิว แม้ไม่มั่นใจ แต่ไม่มีทางเลือก. จึงให้เดวิด ซึ่งไม่มีเสื้อเกราะใส่ มีแต่ชุดผ้าคนเลี้ยงแกะ แต่เคลื่อนไหว ปราดเปรียว เป็นตัวแทน รับมือ. โกไลแอธ เป็นโรคอะโครเมกาลี ทำให้ตามองเห็นพร่าๆ. และเชื่องช้า. เดวิดเอาก้อนหินขนาดเหมาะมือ 5 ก้อนใส่ถุงย่าม เข้าต่อสู้
ความมั่นใจของเดวิดต้องไม่รบด้วยวิธีเดิมๆ ต้องอาศัยจุดเด่น ของตนคือความคล่องแคล่วว่องไวเป็นหลัก อาศัยหลบหลีก แหลนที่พุ่งมา 3 /4 ครั้ง เมื่อได้จังหวะก็ใช้สลิงก้อนหินเหวี่ยงใส่โกไลแอทที่อุ้ยอ้าย โดนแสกหน้า ล้มครืนกับพื้นเดวิดจึงเอาดาบตัดหัวโกไลแอธ
เมื่อไปดูรูปปั้น เออ..ไมเคิล แองเจโล อยากสื่ออะไรผ่านรูปปั้น ?บอกอะไรเรา ? ..เขาน่าจะบอกว่า เราอย่าหวั่นไหว เมื่อห้วงเวลาแห่งชะตากรรมมาท้าทายเราแล้ว. ก็สู้กับมัน. แต่ต้องรู้ตัวเอง รู้จุดแข็ง ของตนอยู่ตรงไหน? ต้องเล่นเกมที่เราถนัด. เข้าไปสู้กับจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ นี่เป็นสิ่งที่ฉุกใจคิดว่า ในยุคนั้น
ในสมัยนี้คนที่อยากจะทำการเปลี่ยนแปลง เราจะต้องทำอะไร ก็เชื่อมโยงกับสิ่งที่เราฝึกมา เราจะนำมาใช้ได้อย่างไร ก็อยากเล่าผ่านงานศิลปะ และประวัติศาสตร์ ทำไมเราต้องสนใจงานศิลปะ ประวัติศาสตร์ เพราะมันถ่ายทอดผ่านสิ่งเหล่านี้ที่บางทีเราก็อาจจะไม่ทันรู้ตัว
เมื่อเราต้องเจอเรื่องเครียด หวั่นไหว สภาวจิตของเราต้องนิ่ง ไม่หวั่นไหว เทียบกับเดวิด ที่มีความกล้าหาญ ตัดสินใจที่จะเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแรงกว่า ใหญ่กว่า. คือ รู้จังหวะของตนเอง
ในการฝึกอบรมที่ผ่านมาผมมักย้ำว่า ตัวตนของเรา หรือ being ของเราคืออาวุธสำคัญที่สุด. ดังที่เดวิด ได้แสดง. ควรใส่ใจต่อ self knowledge ให้ดี ซึ่งต้องให้เวลากับตนในการฝึกฝนสภาวะจิต ให้เยือกเย็น เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ต่อสู้ด้วยสติและสมาธิ.
เราจะนำประวัติศาสตร์ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ Renaissance มาใช้กับโลกสมัยใหม่ที่มีกระแสพลังขัดแย้งกัน สวนทางกันหรือเรียกว่า world of paradox. โลกปฏิทัศน์ และ VUCA World ได้อย่างไร?