บ้านคอกวัว
เมื่อก่อนชื่อบ้านโฆกงัว สมัย 2492 ได้เปลี่ยนชื่อจากบ้านโฆกงัว เป็นบ้านคอกวัว และจะมีการค้าวัวค้าควายจากเขตอีสานตอนล่าง นายฮ้อยมีการไล่วัวไล่ควายขึ้นมาเขาจะตอนวัวตอนควายเพื่อการค้าขายไปยังภาคกลางและภาคอีสานและเมื่อก่อนโนนเขาเรียกว่าโคกจะมีจุดพักวัวและควายผูกไว้กับเสา (เสาหลักทองคำ) ซึ่งเป็นของนายฮ้อย เมื่อนายฮ้อยมาพักนายฮ้อยเรียกว่าโคกงัวเมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีภาษากลางเข้ามา คำเรียกเริ่มเพี้ยนจึงเรียกว่าคอกวัว เมื่อมีคนสัญจรไปมาเขาจึงใช้พื้นที่บ้านคอกวัวพักค้างแรมทั้งคนและวัวควายในการพัก ระยะเวลาการเดินทางของคนและวัวควายในสมัยก่อนเดินทาง 2-3 วัน โคราชเป็นเมืองที่ต้องการผ่านไปยังอำเภอสีคิ้ว
คลองช้างขวาง
น้ำจะไหลมาจากเขื่อนระบายน้ำโพธิ์เตี้ย เรียกว่าประตูระบายน้ำเขื่อน ภาษาทางการเรียกว่าลำเหมืองหลวง แต่คนพื้นถิ่นจะเรียกกันว่าคลองช้างขวาง (ก่อนชลประทานเกิดอีก) มันก็มีตำนานคล้ายๆกัน ก่อนจะเกิดลำเหมืองหลวง คลองช้างขวาง มันจะเลาะมาจากตำบลประลุใหญ่ เป็นลำคลองเลื่อยๆ จนมาถึงต้นคลองช้างขวางที่อยู่ท้ายหมู่บ้านคอกวัว คนสมัยก่อนเรียกกันว่าทางเรือ ท้ายบ้านคอกวัวจนถึงลำบริบูรณ์ของบ้านนาตก ลำบริบูรณคือทางแยกไปลำตะคลอง ถ้าลำตะคลองจะเข้าไปในตัวเมือง อีกเส้นแยกมาที่ลำบริบูรณ์ผ่านบ้านละลม บ้านกล้วย มาโพเตี้ย มาทำนบพุดซา บ้านนาตม คลองช้างขวางก็คือลำสาขาของลำบริบูรณ์ เล่ากันว่าเมื่อก่อนมีขุนนางนำช้างมาพักอาบน้ำ กินน้ำ ที่คลองนี้ทำให้สัตว์อื่นไม่สามารถลงไปกินน้ำที่คลองได้ ชาวบ้านก็เลยเรียกว่าคลองช้างขวาง ต่อมามีโครงการใจกล้า ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น เป็นโครงการด้านการเกษตรเพื่อส่งเสริมการคมนาคมระหว่างประเทศเพื่อสะดวกต่อการนำผลผลิตมาค้าขาย ญี่ปุ่นจึงนำเครื่องจักรมาขุดลอกทำเป็นคลอง จึงเรียกว่าเหมืองญี่ปุ่น
*หมายเหตุ ภาษาทางราชการเรียกว่า ลำเหมืองหลวง
พื้นที่เกษตรชุมชนพึ่งตนเอง
แนวคิดของการจัดตั้งศูนย์เศรษฐกิจพอเพียงฝึกตัวเองคือ มีพื้นฐานตามเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก่อตั้งเมื่อปลาย 61 มีพื้นที่ทั้งหมด 17 ไร่ ซึ่งเมื่อก่อนเป็นพื้นที่รกร้าง เรียกพื้นที่ตรงนี้ว่าบึง ไม่ได้ใช้ประโยชน์รวมถึงน้ำท่วมพระไม่สามารถออกมาบิณฑบาตได้จึงหารือกับกลุ่มคนในชุมชนว่าจะใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตรงนี้ยังไง จึงตั้งกลุ่มเศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเองตอนแรกมีจำนวนสมาชิก 26 คน ซึ่งหารือกันเพื่อรวมหุ้นคนละ 300 บ้าง 500 บ้าง แต่จำนวนเงินไม่เพียงพอจึงต้องยื่นกู้ในโครงการเพื่อนำเงินมาทำประโยชน์ในส่วนนี้ มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ผักหวาน ไก่ ไม้ป่าไม้พยุง ฯลฯ เพื่อที่จะเป็นไม่อนุรักษ์ไม่เน้นปลูกเพื่อเศรษฐกิจ แต่ปลูกเพื่อได้บริโภคในหมู่บ้าน หากเหลือถึงนำไปขายที่ศาล SML บ้านคอกวัว และมีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไก่ นำมูลของสัตว์มาเป็นปุ๋ย
สิ่งที่ทำคือ
เงินจากการค้านำมาพัฒนาศูนย์เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อตนเองต่อรวมถึงพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยังยืน ประโยชน์ต่อชุมชนการให้ความรู้เพื่อให้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของนาโยนในตอนนั้นซึ่งมีโรงเรียนสุระสองและโรงเรียนวัดตางตาได้มาฝึกทำมาโยน
บ้านขนมหวานยายสำราญ
ยายสำราญหรือนางสำราญ บวชสันเทียะอายุ 79ปี ยายมีความสามารถทำขนมไทย เกิดจากความสนใจ จึงเรียนรู้และปรับเรื่อย ๆ เป็นสูตรโบราณเฉพาะที่คุณยายฝึกทำเอง คนมีฝีมือ มีความสามารถในการทำขนมต่างๆและการศึกษาของคนสมัยก่อนยังไม่เปิดโอกาสเปิดพื้นที่และคนที่สนใจในการทำขนมต่างๆต้องไปหาเรียนรู้หาประสบการณ์ในการทำขนมเมื่อก่อนบ้านคอกวัวไม่มีร้านค้าก็ต้องหาบกระจาดขายตามบ้าน(ขนมหม้อแกง, ขนมชั้น, ขนมฟักบัว ฯลฯ) เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปคนสมัยใหม่ก็ไม่รู้จักขนมไทยต่างๆ ต่อมายายสำราญมีอายุเพิ่มมากขึ้นหาบขายไม่ได้ยายจึงกลับมาทำและขายที่บ้านรับทำตามความต้องการของผู้ซื้อและผู้คนรู้จักยายสำราญมากขึ้นเนื่องจากมีคนสืบสานต่อการทำขนมไทยของยายสำราญเป็นขนมโบราณที่ควรอนุรักษ์ไว้ คนสืบทอดคือ ลูกของยายสำราญ ชื่อน้าแต๋นหรือ นางพรพนา บวชสันเทียะ อายุ 48 ปี ได้เริ่มทำขนมกับคุณแม่มา 7-8 ปีแล้ว
ผักปลอดสารน้าสวรรยา
นางสวรรยา ทิพย์กระโทก อายุ 48 ปี มีแนวคิดที่จะเริ่มทำผักสวนครัวปลูกเองกินเองเริ่มทำมา 15 ปีแล้ว เพราะในสมัยนั้นสุภาพน้าสวรรค์ยาไม่ค่อยดีไม่อยากซื้อผักกินเนื่องจากในตอนนั้นไปเดินตลาดและไปเห็นผักที่ไม่ปลอดสาร มีสารพิษเยอะ จึงเริ่มที่จะปลูกผักสวนครัวเริ่มจากการปลูกในกระถางจนเปลี่ยนมาปลูกลงดิน ไว้กินเองซึ่งมีมากมาย เช่น พริก กระเพา ต้นคะน้า ใบมะกรูด ต้นหอมมะขามเทศ ขนุน พุทรา ฝรั่ง มะม่วง ต้นไผ่ มะเขือพวง เป็นต้น ซึ่งมีเนื้อที่ในสวนประมาณหนึ่งงาน น้าสวรรค์ยาใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพในการฉีด ซึ่งปุ๋ยนั้นได้มาจากเศษผักเศษอาหารที่เหลือใช้ และน้าสวรรยามีแนวคิดที่จะใช้ package จากธรรมชาติในการขายเพราะในตอนนั้นไปเดินตลาดไปเห็นผักที่เหี่ยวเฉาไม่สดชื่นจึงได้กลับมามีแนวคิดในการใช้ใบตองและกาบกล้วยในการห่อผักขายเพราะมันทำให้ดูสดชื่นสบายตาเห็นแล้วอยากซื้อไม่เหี่ยวเฉา เอกลักษณ์ของน้าสวรรค์ยา คือการไม่ใช้สารเคมี การเก็บผักปลอดสารพิษขายการหาความแปลกใหม่ในการห่อสินค้า package ที่ใช้ในการห่อสินค้า วิธีการห่อ 1. กาบกล้วย ใช้กาบกล้วยที่แห้งลอกออกมาตัดให้เท่ากับผักที่เราจะห่อและใช้ปอกล้วยแช่น้ำนำมามัด 2. ใบตองตัดก้านที่อยู่ข้างล่างสุดแบบสดใช้ห่อจะดูสดชื่น
แกงพื้นบ้านน้าลูกปลา
นางณภัทร มะสันเทียะ อายุ43ปี เดิมเป็นคนบ้านตะคลองเก่า แต่คุณแม่เป็นคนบ้านคอกวัว น้าลูกปลาจึงย้ายมาอยู่บ้านคอกวัวได้ 22 ปีแล้ว น้าลูกปลามีความสนใจในการทำอาหารมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ จึงชอบในการทำอาหาร น้าเล่าว่าในสมัยเรียนจะมีวิชาที่ให้ทำอาหารทุกอาทิตย์ จึงได้ทำไข่ลูกเขยและแกงเขียวหวานเป็นครั้งแรก สิ่งที่น้าถนัดนั่นคือแกงพื้นบ้าน เริ่มเข้าครัวจริงจังเมื่อ พ.ศ.2549 ได้เข้าไปเป็นแม่ครัวในงานพิธีต่างๆของชุมชน ซึ่งสูตรการทำแกงต่างๆได้มาจากแม่ ซึ่งแกงที่น้าทำได้นั่นมีมากมาย อาทิ แกงเป้อะ แกงมัน แกงบอน แกงขี้เหล็ก แกงมะรูม แกงผักหวาน และอีกมากมาย ซึ่งน้าลูกปลานั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ ความพิถีพิถันในการลงมือทำแกง มีสมุดในการจดบันทึกรายการอาหาร เรียนรู้ความผิดพลาดเพื่อพัฒนาต่อ "คิดเอง ทำเอง" นั่นเอง